สิ้นสุด ทริปไทยแลนด์ 2011



ที่สนามบินบ้านเรา คืนนี้..คนไม่พลุกพล่าน


เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ


ดอกไม้หน้าเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ




พ่อไม่มาส่งเพราะเพิ่งกลับจากไปล้างไต เราเกรงว่าจะเพลีย เลยให้นอนอยู่บ้านดีกว่า 
มีแม่ น้องสาว น้าชายและน้าสะใภ้ แค่นั้น




11/ 1/ 11 เวลา 10.08 ของเช้าวันอังคาร เครื่องลงจอดที่สนามบิน แอตแลนต้าด้วยความปลอดภัย บวกกับบิ๊กเซอร์ไพรซ์ของคุณสามี

การเดินทางกลับมาครั้งนี้ ที่นั่งบนเครื่องบินจากไทยตรงไปเกาหลีคนน้อยมากๆ ไม่ถึงร้อยคน ที่นั่งตรงกลางเครื่องว่างตลอด ส่วนที่นั่งแถวเราที่เรียงติดกันสามที่ ที่นั่งตรงกลางก็ว่าง ทั้งเที่ยวบินไปเกาหลีและแอตแลนต้า  การต่อเครื่องจากเกาหลีไปยังแอตแลนต้าก็ไม่ยาก เพียงแต่ งง นิดหน่อย ที่หาหมายเลขเกทไม่เจอ เพราะมีป้ายบอกแค่ เกท 25 ที่ต้องเลี้ยวขวา แต่ของเราเกท 28 มองซ้ายก็ไม่มี หันรีหันขวางก็มองไม่เห็น จะไปตรงไหนหว่า เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ดีกว่า เจ้าหน้าที่ชี้ให้เดินไปทางเกท 25 นั่นแหละ พอหาเกทเจอ ก็ไปทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย ไปหาที่นั่ง หลับไปได้หน่อยนึงเพราะง่วงมากๆ ตื่นมารู้สึกแสบท้อง  เห็นร้านกาแฟสตาร์บัคอยู่ติดกับเกท คนเข้าแถวรอซื้อยาวเชียว อย่าซื้อดีกว่า คิดว่าน่าจะแพงด้วยแน่ๆ  เลยเดินย้อนขึ้นมาหน่อยนึง หยุดซื้อ พาวด์เค้กห่อนึงกับน้ำแร่ 1 ขวด จ่ายไป 5 เหรียญ  เดินกลับมาที่เดิม จะได้นั่งกิน ว้าว..ไม่มีแล้วเก้าอี้.. คนเล่นจองนอนเหยียดยาว เกือบทุกแถว  เลยได้แต่ดื่มน้ำระหว่างเดินเล่น เพลินเหมือนกันนะเพราะ...เห็นสาวๆหนุ่มๆเกาหลีแต่งตัวยังกะออกมาจากแมกกาซีนเชียวล่ะ หุ่นเพรียวๆถึงผอมมม ... มีวิจารณ์อีกแน่ะ อิอิ  สักพักเขาเรียกขึ้นเครื่อง เราเลยไปเข้าแถวรอ เจ้าหน้าที่ขอดูพาสปอร์ตกับกรีนการ์ดก่อนฉีกตั๋ว พอเดินลงบันไดไปก่อนจะขึ้นเครื่อง เจอแถวตรวจสัมภาระในกระเป๋าถือ เราเห็นขวดน้ำ กาแฟ วางที่พื้นข้างเจ้าหน้าที่เต็มเลย เราเลยออกจากแถวมายืนดื่มน้ำให้ได้เยอะที่สุด ก่อนถูกริบ เจ้าหน้าที่คนที่ยืนคุมแถวเห็น ยิ้มใหญ่เลย แต่เราก็ดื่มจนเกือบหมดขวดล่ะ แล้วไปยืนต่อแถว ไม่ไหว ท้องจะแตก เอาเถอะ จะริบก็ริบไป

พอเข้ามาในเครื่อง เราก็หาที่นั่ง 39K รู้อยู่แล้วว่ามีสามที่นั่งตั้งแต่ตอนซื้อตั๋ว ได้แต่ลุ้นว่าใครจะมานั่งข้างๆ จนเครื่องจะออกแล้วก็ยังไม่มีใครมานั่ง มีแต่หนุ่มเกาหลีนั่งตรงที่นั่งริมทางเดิน สบายเราเลย ไม่ต้องอึดอัด ขอเม้าท์หนุ่มเกาหลีคนนี้หน่อยเถอะ   เราเห็นว่าเขาไม่มีปากกาเขียนใบดีแคลร์ ก็ส่งให้ เขาหยิบไปเขียนเสร็จก็โยนแหมะไว้ตรงที่นั่งตรงกลางพร้อมไอโฟนเขาแหละ แล้วก็ลุกไปห้องน้ำ กลับมาก็หยิบไอโฟนไปดู เราเลยเก็บปากกาให้เห็น..ต่อหน้าเลยยย ตอนจะลงเครื่องเราเห็นว่าเขาเก็บสัมภาระหมดสิ้น กำลังยืนรอเดินออกจากเครื่อง เราก็เหลือบไปเห็นพ่อหนุ่มนี้ยังใส่รองเท้ากระดาษที่สายการบินให้ไว้ใส่เดินบนเครื่อง ไม่รู้ว่าใส่ยังไงเห็นนิ้วโป้งทะลุออกมาจากหัวรองเท้าแตะด้วย อิอิ  เราก็ถามเบาๆว่า นั่นรองเท้าผ้าใบคุณใช่ไม๊ เขาพยักหน้าหงึกๆ แล้วรีบเปลี่ยน เสร็จแล้วเดินออกไปเลย ไม่พูดไม่จาทั้งสิ้น เราใจดีเกินไป หรือเขาคิดว่าเรายุ่งกับชีวิตเขามั้งเนี่ย อิอิ  ไปเห็นอีกทีตรงด่านตรวจคนเข้าเมือง  เราเห็นยืนเข้าแถวข้างๆเราน่ะ แหม๊.. รู้งี้น่าจะปล่อยให้ใส่รองเท้ากระดาษนิ้วโผล่โชว์เจ้าหน้าที่ที่ด่านซะก็ดีหรอก...ช่างเถอะ

ต่อเรื่องเราดีกว่า ถึงคิวเราแล้ว ตม.กระดิกนิ้วเรียก ไม่ได้กวักมือนะ กระดิกนิ้วจริงๆ แล้วถามเราว่าเมืองที่เราอยู่มันอยู่ตรงไหนของอาลาบาม่าน่ะ แล้วมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ยังไง ซื้อของอะไรมาฝากคนทางนี้ แล้วกรุงเทพน่ะน้ำท่วมไปถึงไหนแล้ว แน๊ะ.. คงติดตามข่าวอยู่ล่ะสิ อิอิ เราก็เล่าไปเป็นฉากๆ ตบท้ายด้วยเชิญให้ไปเที่ยวไทยหลังน้ำลดซะเลย ไหนๆก็บอกเราแล้วนี่ว่าไม่เคยไปเลยประเทศไทยเนี่ย เจ้าหน้าที่หัวเราะ ตอนเราบอกว่ารอน้ำลดก่อนนะ หลังจากพิมพ์ลายนิ้วมือ มองกล้องเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็คืนกรีนการ์ดกับพาสปอร์ตให้ แล้วบอกให้เดินไปรับกระเป๋า เราเดินลงบันไดเลื่อนไปก็เห็นกระเป๋าเราเลื่อนมาให้เห็นพอดีเลย จำพู่ไหมพรมสลับสีที่ผูกตรงหูกระเป๋าได้น่ะ แต่..ไม่มีปัญญาหยิบ กลัวถูกกระเป๋าลากลงไปในรางด้วย 555 เดินไปลากรถมาแล้วเข็นไปใกล้ๆเจ้าหน้าที่ใส่เสื้อสีแดง เจ้าหน้าที่กำลังง่วนกับการลำเลียงกระเป๋าเพราะเยอะเหลือเกิน แล้วต้องจัดวางบนรางให้ดีๆ เพื่อที่น้องหมาตม.จะได้เขย่งดมให้ทั่วๆหน่อย (น้องหมาใส่เสื้อกั๊กของด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วยน๊า น่ารักสุดๆ) เราเลยยืนดูน้องหมาตม.ทำงานเพลิ๊นเพลิน น้องหมาดมกระเป๋าใครไม่รู้ แล้วก็นำหน้าเจ้าหน้าที่ ดมตามกระเป๋าใบนั้น เจ้าหน้าที่เลยให้รางวัลน้องหมา ด้วย ทรีท 1 คำ แล้วเอากระเป๋าใบนั้นย้ายที่ รอให้ราง วนมาให้ดมใหม่ เจ้าหน้าที่เสื้อแดงถามว่ามีอะไรให้ช่วยไม๊ แต่เราอยากดูน้องหมาทำงานต่อ เลยบอกไปว่า มีค่ะ แต่เรายังไม่เห็นกระเป๋าของเราเลยน่ะ อิอิ ตกลงว่าน้องหมาดมอีก เจ้าหน้าที่เลยยกออกมา มีกระเป๋าสามใบกองรวมกัน อยากรู้ว่าน้องหมาจะดมกระเป๋าเราหรือป่าวเพราะมีกะปิ กุ้งแห้ง ปลาสลิด ปลากุเลาเค็มกลิ่นตุๆที่น้าสะใภ้ให้มา1 ชิ้นใหญ่ แต่ทอดมาเรียบร้อยแล้วล่ะ น้องหมาตม. เขย่งขาปีนราง เดินดมๆผ่านกระเป๋าเราไปสองรอบ รอดแล้ว เลยขี้เกียจรอดูต่อล๊ะ เดี๋ยวคุณสามีรอนาน  เลยขอให้เจ้าหน้าที่เสื้อแดงช่วยยกกระเป๋าใส่รถเข็นให้ ระหว่างนี้ เราเห็นมีคนที่รอรับกระเป๋าขอให้เจ้าหน้าที่เสื้อแดงช่วยเข็นให้ด้วย แล้วเราก็เห็นเขาเปิดกระเป๋าตังค์ คงให้ทิปกันน่ะ เราเลยแค่ขอบคุณหนุ่มเสื้อแดง แล้วเข็นเองดีกว่าา  ตอนมาอเมริกาเที่ยวแรก  เจอคนไทยบนเครื่อง บอกให้เราจ่ายไปห้าเหรียญ เขาจะได้เข็นให้และไม่ถูกตรวจ  ด้วยความที่ไม่รู้ก็เลยทำตาม  แต่คราวนี้ทำเองได้แล้ว   เราไปเข้าแถวรอตรวจกระเป๋า เราตัดสินใจตั้งแต่บนเครื่องล๊ะว่าจะไม่ดีแคลร์อ่ะ  เพราะเราคิดว่าของที่เราเอามาไม่มีของต้องห้ามอะไร เจ้าหน้าที่ถามว่าเอาอาหารเข้ามาไม๊ เราบอกว่าอาหารที่นำมาไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ต้องห้าม เขาก็เลยบอกว่าโอเค... แล้วก็เดินต่อมาที่เคาเตอร์ที่มีเจ้าหน้าที่ส่งกระเป๋าลงรางต่อไปยังเทอร์มินอลปลายทาง แล้วบอกให้เราเดินไปเข้าช่องตรวจร่างกาย กระเป๋า รองเท้า ก่อนที่จะเดินลงบันไดเลื่อนเพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ไปยังเทอร์มินอล T พอออกจากรถไฟแล้ว เข้าประตูตรงมายังทางขึ้นบันไดเลื่อน มีเจ้าหน้าที่ตม.ยืนเต็มไปหมด เเต่ก็ไม่ได้ถูกเรียกตรวจอะไรนะ เราเดินไปอีกพอสมควรก่อนที่จะขึ้นบันไดเลื่อนอีกที ไปยัง Arrival Lobby พอถึงแล้วมองหาคุณสามี ไม่เห็นอ่ะ เลยเดินต่อ ได้ยินเสียงทางด้านหลังถามว่า ที่รักกำลังมองหาอะไรจ๊ะ หันไป วินาทีนั้น นึกในใจว่าใครฟ๊ะ 555 โห....จำไม่ด้ายยย ผอมลง โกนหนวดโกนเครา หล่อ (ของเรา) เหมือนตอนบินไปหาเราที่ไทยเรยยย แต่โดนเราทุบไปหนึ่งอั๊ก โทษฐานที่ทำให้เราตกใจ นึกว่าเป็นใครก็ไม่รู้เดินตามมา หุหุ

อ้อ ขอเล่าเรื่องอาหารบนเครื่องนิดนึง ตอนที่เรามาอเมริกาครั้งแรก กับเที่ยวนี้ เราระบุอาหารแบบมังสวิรัติ จริงๆแล้วคือเราไม่ต้องการอาหารที่มีเนื้อวัวน่ะ แต่ไม่รู้จะไปเขียนตรงไหน เพราะในข้อมูลมีแค่2ข้อให้เลือก คืออาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ กับอาหารธรรมดา เลยเลือกข้อที่เป็นมังสวิรัตินั่นแหละ

ปรากฏว่า....ไม่มีเนื้อสัตว์จริงๆ รสชาดก็ไม่อร่อย กินได้นิดเดียว แล้วมาเจอครั้งนี้  ทริปจากแอตแลนต้าไปเกาหลี และจากเกาหลีไปไทย เจออาหารแบบไม่ถูกปากมากๆ  แบบว่ามีข้าวสวยกับผักต้ม แล้วก็มีซอสมาให้ราดพอมีรส แล้วคนที่นั่งข้างๆได้กินอาหารปกติ ดีๆทั้งนั้นเลย ทำให้เรายิ่งหิวอ่ะ  พอมาถึงไทย  รุ่นน้องที่สนิทกันแวะมาหาที่บ้าน เลยได้มีโอกาสคุยเรื่องอาหารของสายการบินด้วย พอน้องรู้ว่าเรามีปัญหา ไหนๆจ่ายค่าตั๋วไปแล้ว ควรกินให้คุ้มๆหน่อย อิอิ เลยบอกให้เราโทรไปที่สำนักงานสายการบินเกาหลี ในกรุงเทพ ขอเปลี่ยนอาหารใหม่  ไม่รอช้าแล้วเรา...หลังจากส่งน้องกลับ เราก็เข้าเว็บสายการบิน ค้นหาเบอร์ แล้วก็โทรเลย เจ้าหน้าที่ของสายการบินบอกว่า สามารถเปลี่ยนได้..แต่ต้องแจ้งก่อนภายใน 24 ชม. ก่อนขึ้นเครื่อง  เสร็จสรรพ..คราวนี้ได้กินของดีสักที  ขากลับมาอเมริกา กินได้ทุกอย่าง ไม่เหลืออออ ยกเว้นน้ำผลไม้ ไม่กล้ากิน เพราะเราเองถ้าดื่มน้ำผลไม้แล้วต้องเข้าห้องน้ำทันที เลยเลี่ยงๆ ขอแต่น้ำปล่าว แถมยังหยิบน้ำปล่าวของที่นั่งตรงกลางมาเป็นของเราอีกด้วย..ก็ไม่มีใครนั่งนี่นา

สรุปว่าทริปมาถึงบ้านที่อเมริกา จบลงด้วยความอิ่ม อร่อย และอบอุ่นเมื่อเห็นหน้าคุณสามีที่ต้อนรับด้วยคำว่า I 've missed you so much แล้วก้อ... Many big kisses and hugs ^_^

Comments

  1. น่ารักจิงเลย อิอิเวลาไม่เจอกันนานเหมือนความรักมันมากขึ้น

    ReplyDelete
  2. อ่านแล้วหมั่นไส้น้อยๆๆ...

    ปล หนุ่มเกาหลีตอนลุกไป ทิ้งไอโฟน เขาคงแอบให้ท่าพี่ยุ ให้พี่ยุใส่เบอร์พี่ไว้ให้เขามั้ง หุหุ

    ReplyDelete
  3. จริงเลยจ้ะเทีย อิอิ
    อ้าว..แหม๊ ไม่รู้ว่าทิ้งเบอร์ไว้ได้ 55 แต่ไม่เอาอ่ะ วางท่าแปลกๆ หุหุ

    ReplyDelete

Post a Comment